พระเจ้ามีจริงหรือ? 4 แนวทางที่เราจะสามารถรู้ได้ว่าพระเจ้ามีจริง
พระเจ้ามีจริงหรือ?
นี่เป็นคำถามที่มีมาช้านานซึ่งได้กวนใจมนุษย์มาเป็นพันปีแล้ว. ในเมื่อคนเราเฝ้าถามคำถามนี้กันมาทุกยุคทุกสมัย ข้อเท็จจริงนี้ก็พอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าพระเจ้ามีจริง. แต่ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้า, ผู้ที่ไม่คิดว่าจะพิสูจน์เรื่องนี้ได้, ผู้เชื่อ, หรือผู้เสาะหาความจริงก็ตาม ในบทความนี้ เราก็ไม่ได้ต้องการที่จะบังคับให้คุณเชื่อว่าพระเจ้ามีจริง. แต่เราแค่อยากนำเสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ในเวลาที่เราเคยหาคำตอบเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของพระเจ้า เพื่อให้คุณสามารถหาข้อสรุปได้ด้วยตัวเองว่า พระเจ้ามีจริงหรือไม่.
ในเมื่อเรามองไม่เห็นพระเจ้า แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง?
หลายคนอ้างว่าไม่มีพระเจ้า เพราะไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้ามาก่อน. ในเมื่อคนเหล่านี้ไม่สามารถมองเห็นพระเจ้าในทางกายภาพได้ พวกเขาจึงยกเรื่องนี้มาเป็นข้อพิสูจน์ว่าพระเจ้าไม่มีจริง. แต่ถ้าเราอ้างว่าทุกสิ่งที่เรามองไม่เห็นคือสิ่งที่ไม่มีจริง อย่างนั้นก็ยังมีสิ่งของอีกหลายอย่างที่เราต้องปฏิเสธถึงการดำรงอยู่ของสิ่งเหล่านั้นด้วย. คุณมองเห็นคลื่นวิทยุหรือเปล่า? คนหูหนวกสมควรยืนกรานไหมว่าในจักรวาลนี้ไม่มีเสียง? ถ้าอย่างนั้น การกล่าวว่าพระเจ้าไม่มีจริงเพราะคุณมองไม่เห็นพระองค์ จะสมเหตุสมผลหรือ?
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าพระเจ้ามีจริง? นี่คือ 4 แนวทางที่เราจะรู้ได้.
1. จักรวาล
คุณหยั่งวัดได้ไหมว่าจักรวาลนี้กว้างใหญ่ไพศาลขนาดไหน? แสงมีความเร็วเท่าไร? แสงเดินทางด้วยความเร็ว 300,000 กิโลเมตรต่อวินาที. คุณคำนวณได้ไหมว่าแสงจะเดินทางได้ไกลขนาดไหนใน 1 นาที, 1 ชั่วโมง, 1 วัน, หรือ 1 ปี? เฉพาะในดาราจักรที่เราอยู่นี้ก็มีดาวฤกษ์อยู่หลายดวงที่แสงจากดาวเหล่านั้นต้องใช้เวลานับพันปีกว่าจะเดินทางมาถึงโลกได้. จักรวาลนี้กว้างใหญ่ไพศาลมาก จนแสงจากดาวฤกษ์ในดาราจักรอื่นๆ ยังต้องใช้เวลานับล้านๆ ปีกว่าจะเดินทางมาถึงเราได้. ตัวเลขซึ่งเกินกว่าที่เราจะวัดค่าได้เหล่านี้บ่งบอกว่า จักรวาลนี้กว้างใหญ่ไพศาลสุดจะหยั่งวัดได้. เมื่อเทียบกับจักรวาลแล้ว มนุษย์อย่างเราก็เล็กยิ่งกว่าผงธุลีเสียอีก. แต่พระเจ้านั้นเป็นข้อลับลึกที่ยิ่งใหญ่กว่าจักรวาลนี้อีกมาก. ในเมื่อเรายังยากที่จะเข้าใจถึงความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาล เราก็ยิ่งไม่สมควรด่วนสรุปเอาเองว่าพระเจ้าไม่มีจริง.
หลายคนเชื่อว่าโลกใบนี้เกิดขึ้นมาได้โดยความบังเอิญ. แต่ผลที่เกิดจากความบังเอิญย่อมมีลักษณะเฉพาะดังต่อไปนี้ – ไม่เป็นระเบียบ, ไม่แน่นอน, ไม่เสมอต้นเสมอปลาย, ไร้เป้าหมาย, และไม่มีนัยสำคัญ. ถ้าคุณขว้างเก้าอี้ไปที่อีกฟากหนึ่งของห้อง ก็พอจะมีโอกาสอยู่บ้างที่เก้าอี้ตัวนี้จะตั้งยืนอยู่. ถ้าคุณขว้างเก้าอี้ไปอีกตัวหนึ่งแล้วบังเอิญไปตั้งยืนอยู่ข้างเก้าอี้ตัวแรก เรื่องนี้ก็ยังพอจะมีโอกาสอยู่เหมือนกัน. แต่ถ้าคุณขว้างไปอีกสามครั้ง, สี่ครั้ง, หรือห้าครั้ง คุณคิดว่าจะเป็นอย่างไร? ยิ่งคุณขว้างไปมากเท่าไร ห้องก็จะยิ่งไม่เป็นระเบียบมากเท่านั้น. เราจะเห็นได้จากเรื่องนี้ว่า ความเป็นระเบียบที่อาจเกิดจากความบังเอิญได้นั้นมีน้อยมากๆ.
ทีนี้ คุณลองเอาลักษณะเฉพาะของความบังเอิญไปเทียบกับจักรวาลนี้ดู ยกตัวอย่างเช่น ดวงอาทิตย์. เราจะเห็นว่าดวงอาทิตย์ดำรงอยู่อย่างมีจุดประสงค์และมีนัยสำคัญ และดวงอาทิตย์ก็ไม่ได้ขึ้นและตกแบบไร้ระเบียบด้วย. ดวงอาทิตย์ตั้งอยู่ในจักรวาลนี้ในตำแหน่งที่แน่นอน ซึ่งจะไม่ทำให้โลกนี้ร้อนหรือเย็นเกินไปจนมนุษย์อยู่ไม่ได้. ดวงจันทร์, ดวงดาว, และดาราจักรอีกนับไม่ถ้วนล้วนโคจรด้วยรูปแบบและเส้นทางที่แน่นอน ซึ่งสามารถคำนวณและทำนายได้ล่วงหน้า. คุณพูดได้หรือว่า สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ? สิ่งเหล่านี้ล้วนแสดงให้เห็นว่าจักรวาลนี้เป็นระเบียบ, เสมอต้นเสมอปลาย, และมีจุดประสงค์ ซึ่งบ่งบอกว่าผู้เนรมิตสร้างจักรวาลนี้จะต้องเป็นผู้ที่มีสติปัญญาที่ล้ำลึก ความรู้ที่กว้างไกล จึงสามารถออกแบบได้อย่างซับซ้อนและประณีต.
ลองดูหูของเราเป็นตัวอย่างก็ได้. เมื่อมีคนพูดกับเรา เสียงของเขาก็จะกลายเป็นคลื่นเสียงที่เข้าไปในรูหูของเรา ทำให้เยื่อแก้วหูของเราสั่น ซึ่งเหนี่ยวนำให้ของเหลวในหูของเราเกิดคลื่น แล้วคลื่นเหล่านี้จะไปกระตุ้นเซลล์รับสัมผัสให้แปลงเสียงที่ได้ให้กลายเป็นสัญญาณทางเคมีและไฟฟ้า. จากนั้นสัญญาณเหล่านี้ก็จะถูกส่งไปที่สมองเพื่อจะถอดรหัสสัญญาณและตีความออกมาเป็นคำพูดและเสียงที่เรารู้. ขั้นตอนที่ซับซ้อนเหล่านี้เกิดขึ้นที่หูของเรากับทุกเสียงที่เราได้ยิน. แม้จะมีหลายขั้นตอน แต่เราก็สามารถได้ยินเสียงและเข้าใจได้อย่างถูกต้อง. ถ้าเรามองดูจักรวาล, โลก, และร่างกายของเราให้ดี เราย่อมจะสงสัยว่า ความบังเอิญทำให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้จริงหรือ?
2. พระคัมภีร์
พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มีผู้อ่านมากที่สุด, มีผู้ศึกษามากที่สุด, และเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดบนโลกทุกวันนี้. พระคัมภีร์ประกอบด้วยหนังสือ 66 เล่ม ซึ่งถูกเขียนโดยหลายภาษา ใช้เวลาเขียนนานกว่า 1,600 ปี โดยผู้เขียนประมาณ 40 คนซึ่งมาจากภูมิหลังที่แตกต่างกัน. บางคนเชื่อว่าพระคัมภีร์คือพระคำของพระเจ้า แต่บางคนก็สงสัยว่าหนังสือซึ่งเขียนโดยผู้เขียนที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ เขียนด้วยระยะเวลานานขนาดนี้ จะน่าเชื่อถือสักแค่ไหน. แต่เมื่อคุณได้ศึกษาพระคัมภีร์อย่างเที่ยงตรง คุณจะมองเห็นว่าหนังสือเล่มนี้มีบทนำ, การดำเนินไปของเนื้อเรื่อง, และบทสรุป อีกทั้งยังมีแก่นของเรื่องที่เหมือนกันทั้งเล่มด้วย. เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์ แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่คุณก็ยังต้องยอมรับว่า ในการเขียนหนังสือที่ปะติดปะต่อเป็นเรื่องเดียวกันได้ขนาดนี้ ผู้เขียนทุกคนจะต้องได้รับการนำพาจากพระวิญญาณของพระเจ้าองค์เดียวกันอย่างแน่นอน.
พระคัมภีร์มีคำพยากรณ์อยู่มากมายในหนังสือหลายเล่ม. คำพยากรณ์คือคำทำนายเกี่ยวกับเหตุการณ์ในอนาคต. ในพระคัมภีร์มีคำพยากรณ์นับร้อยข้อที่กล่าวถึงพระเยซูคริสต์ว่า พระองค์เป็นใคร, บังเกิดที่ไหน, ดำเนินชีวิตอย่างไร, ตายอย่างไร, เป็นขึ้นอย่างไร, รวมถึงเรื่องที่พระองค์จะเสด็จกลับมาในสง่าราศีในอนาคตด้วย. คำพยากรณ์เหล่านี้ถูกเอ่ยไว้ตั้งแต่ 4,000 ปี ก่อนที่พระเยซูจะมาบังเกิด. คำพยากรณ์เหล่านี้ส่วนใหญ่ได้สำเร็จเป็นจริงอย่างเที่ยงตรงไปแล้ว เหลือแต่คำพยากรณ์ในเรื่องการเสด็จกลับมาของพระคริสต์เท่านั้นที่ยังรอเวลาที่จะสำเร็จเป็นจริง.
พระคัมภีร์ยังมีคำพยากรณ์อีกมากมายที่กล่าวถึงอดีตและอนาคตของชาวอิสราเอล. คำพยากรณ์เหล่านี้กล่าวถึงการที่ชาวอิสราเอลจะได้ครอบครองแผ่นดินงาม (ปาเลสไตน์), การก่อสร้างพระวิหาร, การล่มสลายและการทำลายพระวิหารและกรุงเยรูซาเล็ม, การถูกกวาดไปเป็นเชลยในบาบิโลน, การก่อสร้างพระวิหารและกรุงเยรูซาเล็มขึ้นมาใหม่, การทำลายพระวิหารและกรุงเยรูซาเล็มอีกครั้งหนึ่ง, การฟื้นฟูเอกราช, และการได้กรุงเยรูซาเล็มกลับคืนมา ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเกิดขึ้นแล้วในประวัติศาสตร์.
เหลือแต่คำพยากรณ์เกี่ยวกับวันสิ้นโลกเท่านั้นที่ยังรอเวลาที่จะสำเร็จเป็นจริง. ถ้าจะให้สาธยายว่าคำพยากรณ์ในพระคัมภีร์ได้สำเร็จเป็นจริงอย่างไรบ้าง เราคงต้องเขียนหนังสือกันเป็นเล่มๆ เลยทีเดียว. ในเมื่อคำทำนายนับร้อยๆ เรื่องในพระคัมภีร์เกี่ยวกับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกลโพ้นได้ถูกบันทึกไว้อย่างแม่นยำ ข้อเท็จจริงนี้เพียงอย่างเดียวก็พอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่าพระคัมภีร์เป็นพระคำของพระเจ้าจริงๆ.
พระคัมภีร์ยังมีพลังที่สามารถส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในชีวิตของผู้คนมากมาย. นี่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เป็นพยานว่าพระคัมภีร์เป็นพระคำที่มีชีวิตและมีประสิทธิภาพของพระเจ้าจริงๆ. มีหลายคนที่สามารถเป็นพยานได้ว่า ชีวิตที่เคยดิ่งลงสู่ความตกต่ำของเขาได้เกิดการหันเปลี่ยนอย่างสิ้นเชิงได้อย่างไรโดยการอ่านพระคัมภีร์. ยังมีคนอีกมากที่รักพระคัมภีร์, ยินดีสละชีวิตของตนเพื่อพระคัมภีร์, และอ่านพระคัมภีร์มาเป็นร้อยๆ รอบแล้วยังคงรักที่จะอ่านต่อไป. ข้อเท็จจริงเหล่านี้ล้วนเป็นพยานถึงฤทธิ์เดชของพระคัมภีร์.
คุณเคยอ่านพระคัมภีร์แล้วหรือยัง? หรือพระคัมภีร์เป็นแค่สิ่งที่คุณเคยได้ยินคนอื่นกล่าวถึงเท่านั้น? ถ้าคุณได้ประสบการณ์ต่อการอ่านพระคัมภีร์เมื่อไร คุณจะเห็นว่าสิ่งที่เราบรรยายมานี้ยังน้อยมาก. เราจึงอยากให้คุณได้ลองอ่านพระคัมภีร์ ลองประสบการณ์ต่อหนังสือเล่มนี้ด้วยตัวคุณเอง.
3. เห็นได้ในอารยธรรมของมนุษย์
ถ้าเราได้ศึกษาอารยธรรมของมนุษย์ทั้งในสมัยโบราณและสมัยใหม่ เราจะเห็นว่าทุกอารยธรรมต่างก็มีทัศนคติเกี่ยวกับเทพผู้สูงสุด. แม้อารยธรรมต่างๆ ในสมัยโบราณจะไม่ค่อยได้ไปมาหาสู่กันสักเท่าไร แต่พิธีกรรม, การทำสงคราม, และวิถีชีวิตในอารยธรรมที่แตกต่างกันนี้ก็ล้วนมีพื้นฐานอยู่บนความเชื่อในเรื่องพระเจ้าของพวกเขา. จากสิ่งที่เราสังเกตเห็นนี้ เราจึงสรุปได้ว่าจะต้องมีอะไรสักอย่างที่ฝังลึกอยู่ในมนุษยชาติ จึงทำให้คนเรามีความปรารถนาที่จะนมัสการพระเจ้าผู้สูงสุด.
4. อ่านหนังสือของเรา
ถ้าคุณยังคงไม่แน่ใจว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่ ทำไมคุณไม่ลองท้าให้พระเจ้าทรงแสดงตัวต่อคุณล่ะ? คุณทำอย่างนั้นได้ง่ายนิดเดียว ขอแค่คุณลองเปิดใจขอให้พระเจ้าแสดงตัวต่อคุณว่าพระองค์มีจริง ก็ใช้ได้แล้ว. ผู้อ่านหนังสือของเราก็เป็นพยานว่าหนังสือแจกฟรีทั้ง 7 เล่มของเราได้ช่วยตอบคำถามที่เขาเคยหาคำตอบไม่ได้, ทำให้ความเชื่อที่เขามีต่อพระเจ้าเข้มแข็งขึ้น, ช่วยให้เขารู้จักพระเจ้าเป็นการส่วนตัว, และเปลี่ยนแปลงชีวิตของเขา. เราอยากชวนคุณมาหาคำตอบเพื่อตัวคุณเองด้วยกันกับผู้คนอีกมากมายว่าพระเจ้ามีจริงหรือไม่.